วิวัฒนาการของปลาวาฬ

วาฬสีน้ำเงินถือเป็นสัตว์ที่ใหญ่ที่สุด ที่เคยมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ รูปร่างของมันเหมือนกับปลาตัวยักษ์ แต่ถ้าเราเข้าไปดูมันใกล้ๆ มันจะดูไม่เหมือนปลาชนิดอื่นเลย และพฤติกรรมของมันก็ต่างกันด้วย ปลาวาฬนั้นต้องขึ้นมาหายใจเหนือผิวน้ำ เพราะว่ามันก็เป็นเหมือนสัตว์เลี้ยงลูก ด้วยนมทั่วไปในโลกนี้ ปลาวาฬใช้อากาศในการหายใจ ซึ่งอากาศนั้นจะผ่านเข้าไปสู่ปอด ปลาทั่วไปจะไม่มีปอด เพราะมันจะหายใจทางเหงือกแทน และวาฬนั้นเป็นสัตว์ที่ออกลูกเป็นตัว และลูกวาฬจะกินนมจากแม่ของมัน โดยการดูด ไม่ต่างจากสัตว์บกที่เลี้ยงลูกด้วยนม ปลาจะไม่ดูดนมจากแม่ วาฬนั้นมีอุณหภูมิร่างกายคงที่ อยู่ที่ 37 องศาเซลเซียส ไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงลูก ด้วยนมที่อยู่บนบก อุณหภูมิร่างกายของปลาจะเปลี่ยนไป ตามสภาพแวดล้อมที่มันอยู่ ดังนั้น จึงดูเหมือนว่า วาฬจะเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมไปแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง มีสัตว์เลี้ยงลูก ด้วยนมที่อยู่บนบกและในน้ำด้วยเหรอ มันมีความเป็นไปได้หรือเปล่า นั่นแปลว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ได้พัฒนาถึงสองครั้ง ภายใต้วิวัฒนาการ ในสภาพแวดล้อมที่ต่างกันสองแบบงั้นเหรอ หรือมันมีวิวัฒนาการมาแค่ครั้งเดียว แล้วจึงกระจายไปอยู่ใน สภาพแวดล้อมที่ต่างกัน แล้วเราจะหาคำตอบเรื่องนี้ได้อย่างไร เราได้ตั้งสมมุติฐานขึ้น 2 ข้อ ข้อแรก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมนั้นได้พัฒนา มา 2 ครั้ง ในช่วงการวิวัฒนาการ ครั้งหนึ่งเกิดขึ้นบนบก และอีกครั้งเกิดขึ้นในน้ำ ในกรณีนี้ถือว่าวาฬเป็นญาติ ใกล้ชิดกับปลามาก ถึงแม้ว่ามันจะมีหลายอย่างที่คล้าย สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบนบกก็ตาม สมมุติฐานข้อที่ 2 คือ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมนั้น มีวิวัฒนาการแค่ครั้งเดียว และกระจายกันไปอยู่ทั้งบนบกและในน้ำ ซึ่งกรณีนี้วาฬนั้นมีเป็นญาติใกล้ชิดกับ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยอยู่บนบก ถึงแม้ว่ามันจะมีหลายสิ่ง ที่เหมือนกับปลาในน้ำก็ตามที เมื่อมีการพัฒนาเกิดขึ้นในสปีชีส์ ในช่วงที่มันมีวิวัฒนาการ มันจะค่อยๆเกิดขึ้นทีละน้อย เป็นเป็นช่วงสั้นๆหลายๆช่วง ถ้าวาฬมีวิวัฒนาการมาจากปลา มันต้องมีสปีชีส์อื่นเกิดขึ้นมาด้วย นั่นคือต้องมีทั้งส่วนสปีชีส์ จากทั้งปลาและวาฬ บางทีสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นอาจมี ทั้งปอดและเหงือกอยู่ด้วยกัน ว่าแต่มันมีร่องรอย ของสปีชีส์นี้อยู่ด้วยเหรอ ไม่เลย ไม่เคยมีร่องรอย ของเจ้าสิ่งที่ว่านี้มาก่อน แล้วมันมีสัตว์ที่มีทั้งความเป็นวาฬ และสัตว์บกที่เลี้ยงลูกด้วยนมไหมล่ะ มีสิ ความจริงแล้วมันมีนะ แล้วสัตว์ที่ว่านั่นก็เคยมีชีวิตอยู่ เมื่อหลายล้านปีก่อน และตอนนี้หินดานก็ยังคงรักษา สภาพร่างของมันเอาไว้ นี่คือฟอสซิลของไมอาซีตัส ดูที่โครงกระดูกของมันสิ ถ้าเทียบกับโครงกระดูกของสัตว์ เลี้ยงลูกด้วยนมทั่วไปที่อยู่บนบก ตัวอย่างเช่น แมว โครงกระดูกพวกนี้ค่อนข้างใกล้เคียงกัน แต่โครงกระดูกของไมอาซีตัสนั้น มีขาหน้าและขาหลังที่สั้นกว่า ทีนี้มาเทียบกับโครงกระดูกของวาฬบ้าง วาฬมีขาหน้า ที่สั้นกว่าขาหน้าของไมอาซีตัส ขาหลังของมันจึงเล็กลงมามาก และมันก็ไม่ได้อยู่ติดกับครีบอีกแล้ว แต่มันก็ยังมองเห็นได้ชัดอยู่ดี ยังมีฟอสซิลอีกมาก ที่ได้สปีชีส์ร่วมในวิวัฒนาการร่วมกัน ของสัตว์บกที่เลี้ยงลูกด้วยนม ไปจนถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่อยู่ในมหาสมุทร ก็คือวาฬนั่นเอง ฟอสซิลในหินดานนั้นทำให้เรา เห็นเส้นทางของวิวัฒนาการ และความเปลี่ยนแปลงในสปีชีส์ ที่เกิดขึ้นทีละน้อย ยังมีการสำรวจวิวัฒนาการ อีกหลายทางเกี่ยวกับวาฬ เราสามารถศึกษาดีเอ็นเอ ของพวกสัตว์ได้ด้วยนะ สิ่งมีชีวิตแต่ละอย่างที่มีความใกล้ชิดกัน ก็จะมียีนส์หลายตัวที่เหมือนกัน และยิ่งมีความแตกต่างกันเท่าไหร่ ยีนส์ที่พวกมันมีก็ยิ่งแตกต่างกันเท่านั้น ทั้งวาฬและปลามียีนส์ที่แตกต่างกันมากๆ ในทางตรงกันข้าม ทั้งวาฬและสัตว์บก เลี้ยงลูกด้วยนมมียีนส์หลายตัวเหมือนกัน นั่นทำให้พวกมันเป็นญาติที่ใกล้ชิดกันมาก ญาติสนิทบนบกที่ใกล้ชิดกับวาฬมากที่สุด ก็คือฮิปโปโปเตมัส ถึงแม้ว่าวาฬและฮิปโปโปเตมัส จะไม่เหมือนกันเลย แต่สัดส่วนของยีนส์ที่พวกมันมี กลับใกล้เคียงกันมาก ดังนั้นเราจึงรู้ว่าทำไมความสัมพันธ์ของ พวกมัน จึงใกล้ชิดกันมากกว่าที่เราคิด ตอนที่เรามองดูพวกมัน ดังนั้นเมื่อนำไปเทียบกับรูปร่างของมัน ทั้งทางกายวิภาคและลักษณะเด่น ถ้าลองไปดูที่ฟอสซิล และเอาดีเอ็นเอของพวกมัน มาเทียบกัน จะเห็นได้ว่าสมมุติฐานที่สอง ที่เราตั้งไว้นั้นถูกต้อง วาฬนั้นมีวิวัฒนาการมาจากสัตว์ เลี้ยงลูกด้วยนมที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่บนบก และจากการสังเกตในวิวัฒนาการ ของวาฬทั้งหมดนี้ ก็ไปตรงกับเรื่องการพัฒนาการ ของสปีชีส์ที่เรารู้กันแล้ว ซึ่งพวกมันก็สนับสนุน ทฤษฎีวิวัฒนาการด้วย